
ในศตวรรษที่ 16 กองทัพ Safawid ซึ่งเป็นราชวงศ์ของเปอร์เซียที่นับถือศาสนาอิสลามเชื้อสายชีอะห์ ได้ปกครองดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันออกกลางไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย การขยายอำนาจอย่างรวดเร็วและการบังคับให้ประชาชนชาวมุสลิมนิกายซุนนีหันมานับถือศาสนาอิสลามชีอะห์ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชากรที่ไม่ใช่เชื้อสายเปอร์เซีย ในปี 1587-1588 การลุกฮือของเควมินได้เกิดขึ้นโดยมีหัวหน้าชื่อว่า “Sheikh”
Sheikh เป็นผู้นำทางศาสนาชาวซุนนีจากกลุ่มชนเผ่าเติร์กmen ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ Safawid เขาประณามการใช้อำนาจของ Safawid และเรียกร้องให้มีการปกครองที่ยุติธรรมและเสรีภาพในการนับถือศาสนา การลุกฮือนี้ไม่ได้เป็นเพียงการต่อต้านอำนาจทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นการสู้รบเพื่อความอยู่รอดของความเชื่อและวัฒนธรรมของชนเผ่าเติร์กmen ที่ถูกกดขี่
Sheikh ได้รวบรวมผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งประกอบด้วยชาวซุนนีจากพื้นที่ต่างๆ และกลุ่มชนเผ่าอื่นๆ ที่ต้องการความเป็นอิสระจากการปกครองของ Safawid การลุกฮือนี้ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ชาวเควมินโจมตีเมืองต่างๆ
เหตุการณ์ | วันที่ |
---|---|
เควมินเริ่มก่อกบฏ | พ.ศ. 2130 |
เควมินยึดครองเมือง Tabriz | พ.ศ. 2131 |
กองทัพ Safawid ปราบปรามการลุกฮือ | พ.ศ. 2132 |
หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความสูญเสีย กองทัพ Safawid นำโดย Shah Abbas I ได้สามารถปราบปรามการลุกฮือของเควมินได้ในที่สุด การปราบปรามครั้งนี้รุนแรงมากและส่งผลให้ชาวเควมินจำนวนมากถูกสังหารหรือถูกเนรเทศ
ผลกระทบต่ออิมแพร์เชียลซาฟาวิด
การลุกฮือของเควมินทำให้เกิดความไม่มั่นคงในจักรวรรดิ Safawid เป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ
-
ความสั่นคลอนทางการเมือง: การลุกฮือของเควมินแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของจักรวรรดิ Safawid Shah Abbas I ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามัคคีและความสงบสุขในอาณาเขตที่กว้างใหญ่
-
การสูญเสียทรัพยากร: การสู้รบอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจของจักรวรรดิ Safawid
-
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม: หลังจากการปราบปรามการลุกฮือ ชาวเควมินถูกกดขี่อย่างรุนแรง การบังคับให้ชาวซุนนีหันมานับถือศาสนาอิสลามชีอะห์มีความเข้มงวดมากขึ้น
-
ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มศาสนา: การลุกฮือของเควมินทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวชีอะห์และชาวซุนนีอย่างรุนแรง
การลุกฮือของเควมินเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความตึงเครียดทางศาสนาและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมในจักรวรรดิ Safawid
แม้ว่า Safawid จะสามารถปราบปรามการลุกฮือได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เกิดรอยร้าวที่ลึกซึ้งในสังคมเปอร์เซีย และส่งผลต่อความมั่นคงของจักรวรรดิ Safawid ในระยะยาว